วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

Ronaldinho เหยินอัจฉริยะ

                                 
( "แหม่ ทำเป็นเข้ม" )

 เหยินอัจฉริยะ       

               โรนัลโด จี อาซิส โมเรย์รา (Ronaldo de Assis Moreira) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรนัลดิญโญ ซึ่งแปลได้ว่า "โรนัลโด้น้อย"  เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) เป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีคนหนึ่ง มีทักษะการเล่นดีทีมชาติบราซิล ปัจจุบันเป็นผู้เล่นของสโมสรฟุตบอลอัตเลติโก มิไนโร่ และอยู่ในช่วงขาลง อย่างสุดขีด

                                          

                          โรนัลดิญโญเกิดในเมืองโปร์ตูอาเลกรี (Porto Alegre) เมืองเอกของรัฐรีอูกรันดีดูซูล (Rio Grande do Sul) มารดาของเขาเป็นนางพยาบาล ส่วนบิดาของเขานั้นเป็นทั้งพนักงานอู่ซ่อมเรือและนักฟุตบอล ในวัยเยาว์ ทักษะในการเล่นฟุตบอลของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถยิงประตูคนเดียว 23 ประตูให้ทีมชนะทีมพื้นเมืองไป 23-0 เขาจึงได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมนักฟุตบอลอายุต่ำกว่า 17 ปีชิงแชมป์โลกที่ประเทศอียิปต์ ปี พ.ศ. 2540



                          ต่อมาก็มีทีมฟุตบอลต่าง ๆ ยื่นข้อเสนอมาให้เขามากมาย ท้ายที่สุดเขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมทีมเกรมีอู ภายหลังถูกซื้อตัวโดยทีมปารีสแซง-แชร์แมงในลีกฝรั่งเศส หลังจากนั้นเขาต้องการจะย้ายออกจากปารีสแซง-แชร์แมง โดยมีเป้าหมายว่าจะไปบาร์เซโลนา ในที่สุดเขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมทีมกับบาร์เซโลนาและประสบความสำเร็จอย่างมาก
                          ก่อนจะย้ายมาค้าแข้งกับเอซีมิลานและมกราคมปี 2554 ได้ย้ายกลับไปเล่นที่บราซิล ในนามทีมฟาเมงโก้ต่อมาจึงย้ายออกจากฟลาเมงโก้ที่ไม่ยอมจ่ายค่าเหนื่อยให้จึงย้ายไปอยู่อัตเลติโกมิเนโร่ 
               


เกียรติประวัติ

          รางวัลที่ได้ส่วนตัว

- FIFA World Player of the Year ปี 2547 2548
- World Soccer Player of the Year ปี 2547 2548
- European Footballer of the Year ปี 2548
- FIFPro World Player of the Year ปี 2548 2549
- UEFA Club Footballer of the Year ปี 2548

          ระดับสโมสร

- แชมป์ ลาลีกา 2548 2549
- แชมป์ ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา 2548
- แชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2549
- ระดับนานาชาติ
- แชมป์ฟุตบอลเยาวชนโลกอายุ 17 ปี 2540
- แชมป์ โคปาอเมริกา 2542 2547
- แชมป์ ฟุตบอลโลก 2002
- แชมป์ คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2548


" เทปการเล่นของเขาในสมัยที่พีคที่สุด ในสีเสื้อบาเซโลน่า "

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

Ronaldo อ้วน


โรนัลโด (อังกฤษRonaldo) หรือชื่อเต็มว่า โรนัลดู ลูอีส นาซารีอู เดอร์ ลีมา(โปรตุเกสRonaldo Luíz Nazário de Lima) เกิดวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2519) เป็นนักฟุตบอลชาวบราซิล  




        ในปี ค.ศ. 1993 โรนัลโดเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรกรูเซย์รู ในฤดูกาลแรกนั้น เขาทำได้ถึง 12 ประตูใน 14 เกม โดยโรนัลโดมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นก็ถูกแมวมองจากสโมสรยักษ์ใหญ่ เพเอสเวไอนด์โฮเวนจากเนเธอร์แลนด์ดึงไปร่วมเล่น นอกจากนี้ โรนัลโดก็ยังได้ร่วมทางกับสโมสรใหญ่ในยุโรปมากมาย อาทิ บาร์เซโลนา อินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน (อินเตอร์ มิลาน) เรอัลมาดริด และเอซีมิลาน

ในส่วนของทีมชาตินั้น โรนัลโดลงเล่นให้กับทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ 97 นัด และทำประตูได้ถึง 62 ประตู โดยเป็นรองเพียงเปเล่และโรมารีอูเท่านั้น และยังเป็นเจ้าของสติถิ 15 ประตู ผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของโลกในฟุตบอลโลกอีกด้วย เขาพาทีมชาติบราซิลได้แชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยในปี ค.ศ. 1994 และ ค.ศ. 2002

ฉายาของโรนัลโดคือ O Fenômeno ("The Phenomenon" ในภาษาอังกฤษ) โรนัลโดเป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากมาย อาทิ รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป 2 สมัย ในปี ค.ศ. 1997 และ ค.ศ. 2002 รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกโดยฟีฟ่า 3 สมัย ซึ่งมีเพียงโรนัลโดและซีเนดีน ซีดานเท่านั้นที่เคยทำได้ ในปี ค.ศ. 2007 เขาถูกจัดให้เป็นหนึ่งในนักฟุตบอล 100 คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลโดยนิตยสารฟุตบอลฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลยอดเยี่ยมที่สุดของโลกที่ยังมีชีวิตอยู่โดยเปเล่
เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2013 โรนัลโดประกาศเกษียณตัวเองจากการเป็นนักฟุตบอล เนื่องจากความเจ็บปวดและภาวะขาดไทรอยด์




วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

กรรมการอย่าง ฮา


กรรมการ อย่างฮา และอื่นๆอีก มากมายสำหรับคนไม่เคยดู 
555+ แอดมินยังท้องแข็ง


วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

รอยคีน โครตกัปตัน ทั้งในและนอกสนาม

รอย คีน
รอย คีน เกิดวันที่ 10 ตุลาคม 1971 ที่เมืองคอร์ก เขาเริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอลกับ คอบห์ รัมเบลอร์ส ต่อมา ไบรอัน เคลาจ์ ได้ติดต่อและพาเขาย้ายไปเล่นให้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในขณะที่เขาอายุได้ 18 ปี โดยการลงสนามนัดแรกของเขาเป็นบทพิสูจน์ตัวเขาเองอย่างแท้จริง เมื่อทีมต้องไปเยือน ลิเวอร์พูล ทีมซึ่งได้แชมป์ลีกในปีนั้น และเขาก็จบฤดูกาลแรกที่เขาเล่นให้กับทีมแบบเต็มที่ กับการลงเล่นใน เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1991 เมื่อเขาอายุได้ 20 ปี
จากฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขา ก็ไม่สามารถหลุดรอดผ่านสายตาของผู้จัดการทีมชาติไปได้ โดย แจ็ค ชาร์ลตัน ผู้จัดการทีมสาธารณรัฐไอร์แลนด์ในขณะนั้น เรียกเขาติดทีมชาติในเดือน พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1991
ในฤดูกาลหลังจากนั้น น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมของเขาก็พ่ายให้กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 0 ในลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ อีกทั้งทีมต้องตกชั้นในฤดูกาลถัดมา ทำให้ในช่วงปิดฤดูกาลการแย่งชิงตัวเขาจึงเกิดขึ้น และผู้ที่สามารถเซ็นต์สัญญาได้ตัวเขาไปร่วมทีมก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับค่าตัว 3.75 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าตัวที่แพงที่สุดของสโมสรและของทีมในเกาะอังกฤษเวลานั้น
ในระหว่างที่เขาเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งทักษะ การขับเคลื่อน การตัดสินใจ และความมุ่งมั่นในเกมทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ ทำให้หลายคนต่างเปรียบเขากับอดีตนักเตะตำนานของทีมไบรอัน ร็อบสัน เลยทีเดียว
keane
เขามีตำแหน่งเป็นถึงกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งรับช่วงต่อจาก เอริค คันโตน่า หลังจบฤดูกาล 1996/97 เมื่อ ก็องโต้ ประกาศแขวนสตั๊ด แต่ก่อนเริ่มฤดูกาลแรกของการเป็นกัปตันทีมเพียงไม่กี่วัน เขากลับต้องพบกับอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า ทำให้ต้องพักเป็นระยะเวลานานทีเดียว
มีผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคนให้ข้อสังเกตว่า ฤดูกาลใดก็ตามที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สะดุด หรือโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังนั้น มักสืบเนื่องมาจากการขาด รอย คีน และจากการบาดเจ็บของเขาในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1997 ทำให้ทีมปีศาจแดงต้องพลาดแชมป์ในปีนั้น และทีมชาติของเขาเองก็ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกในปี ค.ศ. 1998 ด้วย
ในฤดูกาล 1998/99 รอย คีน กลับมาลงเล่นด้วยความฟิตเหมือนเดิม และเขาสามารถช่วยทีมได้มากทีเดียว จนกระทั่งในรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เขาต้องถูกใบแดงไล่ออกจากสนามตามด้วยการถูกใบเหลืองในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ semi-final ที่พบกับ ยูเวนตุส ทำให้เขาไม่ได้ร่วมทีมในนัดแห่งความทรงจำที่ บาร์เซโลน่า อย่างไรก็ดี เขาสามารถกลับมาลงเล่นให้กับทีมได้ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่พบกับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และขึ้นรับถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ชิพ ในที่สุด
การเจรจาเซ็นต์สัญญากับเขาในฤดูกาล 1999/2000 ก็เริ่มขึ้นด้วยการประโคมข่าวต่างๆ นานาของสื่อ ทั้งข่าวที่ว่ากัปตันทีมผู้นี้ ปฏิเสธข้อเสนอของสโมสร จนกระทั่ง ก่อนเริ่มเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเลนเซีย ก็มีการประกาศออกมาว่าเขาเซ็นต์สัญญาฉบับใหม่กับสโมสรแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่า เขาจะเล่นให้กับทีมเหมือนไม่มีอะไรหนักอกหนักใจอีกแล้ว
รอย คีน สามารถทำประตูให้กับทีมได้ถึง 12 ประตูในฤดูกาลนั้น ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นประตูที่ได้ในฟุตบอลถ้วยยุโรป และด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็น “นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล” โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หลังจากนั้น เขาก็ยังพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก เป็นครั้งที่ 7 ของสโมสรในฤดูกาล 2000/2001
ทางด้านการลงเล่นให้ทีมชาติ เขาก็ลงเล่นนัดที่ 50 ให้กับทีมชาติ ด้วยชัยชนะเหนือ ไซปรัส 4 – 0 จากฟอร์มการเล่นของเขาช่วยพาทีมผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ โดยอยู่ในกลุ่มเดียวกับ โปรตุเกส และ ฮอลแลนด์ แต่เขาได้มีปัญหากับผู้จัดการทีมชาติ มิค แม็คคาธี่ย์ ทำให้ต้องถูกส่งตัวกลับประเทศและไม่สามารถลงเล่นช่วยทีมชาติได้ในขณะนั้น สื่อต่างก็ประโคมข่าวกันมากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้น และทำนายกันว่าจะเกิดอะไรตามมา โดยหลังจากนั้นไม่กี่เดือน รอย คีน ก็ออกมาประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติไอร์แลนด์ ในที่สุด
คีน โชคไม่ค่อยดีนักเมื่อต้องเข้ารับการผ่าตัดบริเวณสะโพก และต้องพักไปอีกหลายเดือนในช่วงต้นฤดูกาล และเมื่อเขากลับมา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสงบและใจเย็นขึ้นในการลงสนาม และแม้ว่าจะมีคำถามมากมายจากแฟนบอลและสื่อมวลชนว่า เขาจะอยู่กับทีมอีกนานแค่ไหน และจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ แต่ รอย คีน เองก็ตอบคำถามนี้ด้วยตนเองว่า “ผมยังคงมีงานต้องทำที่นี่อีกอย่างน้อย 2 – 3 ปีนี่แหละ” ซึ่งนั่นก็คงสร้างความมั่นใจให้กับแฟนปีศาจแดง ได้ไม่น้อย
ช่วงปี 2005 คีนซึ่งมีอาการเจ็บออดๆแอดๆ ทำให้ไม่ค่อยได้ลงสนามอยู่แล้ว และยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้เฟอร์กี้โมโหคีนด้วย ซึ่งนั่นก็คือ การที่ท่านเซอร์ ไปรู้มาว่า คีนกำลังเตรียมตัวที่จะไปเล่นให้ทีมอื่น รวมถึงไปวิจารณ์นักเตะคนอื่น เช่น ริโอ เฟอร์ดินาน ว่าค่าเหนื่อยสูงเกินไป (120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์) ปัญหาต่างๆ ทำให้เซอร์ ซึ่งไม่ชอบนักเตะที่ไม่มีวินัยอยู่แล้ว ปล่อยตัวเขาออกจากทีมไป
คีน ย้ายไปเล่นให้กับเซลติก โดยได้รับค่าเหนื่อ 40,000 ปอนด์ เขาทำหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง ซึ่งลงข้อความไว้ด้วยว่า เขาตั้งใจที่จะเสียบสกัด อัฟ อิงเก้ ฮาร์แลนด์ อย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เขาขาหักอย่างสาหัส จนต้องเลิกเล่นไปเลย ทำให้คีนถูกปรับเป็นเงิน 150,000 ปอนด์ต่อกรณีดังกล่าว และจบชีวิตการค้าแข้งลงที่นี่ ด้วยจำนวนการลงแข่ง 10 นัด
ชีวิตของ คีโน่ หวนกลับเข้ามาในวงการฟุตบอลอีกครั้ง เมื่อทีมซันเดอร์แลนด์ ได้แต่งตั้งคีน ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ ซึ่งคีนสามารถทำทีมซันเดอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ ทะลุขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ ในฐานะ แชมป์พรีเมียร์ชิพ! สร้างปรากฎการณ์ให้กับคีนเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ดี การคุมทีมของคีน ณ ศึกพรีเมียร์ลีก ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำทีมพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งจมสู่ส่วนท้ายของตาราง ทำให้ต้องไขก๊อกลาออกไปในที่สุด
ปัจจุบัน รอย คีน อดีตกุนซือ ซันเดอร์แลนด์ กลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ อิปสวิช ทาวน์ ทีมในลีกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อแทนที่ จิม มาจิลตัน ที่เพิ่งถูกปลดออกไป เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
โดย คีน ว่างงานมาตลอด หลังลาออกจากการคุมทีม ซันเดอร์แลนด์ เมื่อเดือนธันวาคม ปีก่อน ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวก็ตัดสินใจหวนคืนวงการฟุตบอลอีกครั้ง ด้วยการตัดสินใจรับงานคุมทีม อิปสวิช ทาวน์ ด้วยสัญญายาวสองปี ขณะที่เจ้าตัวก็ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า เป็นงานที่ท้าทายไม่น้อย ในการพาทีมกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีก อีกครั้ง หลังตกชั้นมาเมื่อปี 2002
"มันเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ในการทีมพยายามกลับขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ผมตื่นเต้นนะ และก็กำลังมองไปข้างหน้า หลังจากได้พักมาเต็มที่ ขณะเดียวกันมันก็เยี่ยมสุดๆ ที่ได้กลับมาอีกครั้ง"
"สอง - สามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมนั่งคิดมาตลอดว่า ผมพร้อมหรือยัง หากว่า มีโอกาสเข้ามา ตอนนี้ผมเซ็นสัญญาไปสองปี แต่ผมก็จะพยายามพาทีมเลื่อนชั้นให้ได้ภายในปีเดียวเท่านั้น" คีน กล่าว



David Beckham เทพบุตรลูกหนังแห่ง อังกฤษ


เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบ็คแฮม (David Robert Joseph Beckham) 

เกิดวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1975 เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษเป็นกัปตันของทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ถึง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2006
เบ็คแฮมเป็นนักเตะหนึ่งในสี่คนที่เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมากกว่า 100 นัด เขายังเป็นนักเตะที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 94 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับ 5 (ก.ค. 49) และเป็นคนอังกฤษเพียงคนเดียวที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง ใน ฟุตบอลโลก 1998 2002 และ 2006 รวมทั้งหมด 17 ประตู ชื่อเสียงของเบ็คแฮมนอกสนามแข่งนั้นโด่งดังกว่าในสนามมาก เฉพาะในสหราชอาณาจักรแล้ว ชื่อเบ็คแฮมเทียบได้กับแบรนด์อย่างโค้กหรือไอบีเอ็มเลยทีเดียว
           เบ็คแฮมได้รับเครื่องราชเป็นนายทหารแห่งจักรวรรดิบริเตน (Officer of the British Empire) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2



แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
           เบ็คแฮมเกิดในเมือง ลีย์ตันสโตน ในกรุงลอนดอน โดยพ่อของเขา เท็ด เบ็คแฮม เป็นแฟนของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และเดินทางไปดูการแข่งขันที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดอยู่เสมอ เบ็คแฮมจึงได้เข้าเป็นนักเตะฝึกหัดของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
           เมื่อผู้เล่นชุดใหญ่ของสโมสรออกจากทีมไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 94-95 ผู้จัดการทีมอเล็กซ์ เฟอร์กูสันจึงนำนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาเล่น เดวิด เบ็คแฮมเป็นหนึ่งในนักเตะเหล่านั้น เบ็คแฮมสามารถทำประตูได้ในนัดแรกของฤดูกาล (ชนะ เวสต์แฮม 3-1) และได้เป็นตัวจริงถาวรนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฤดูกาลแรกของเบ็คแฮมนั้นชนะเลิศทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ
           ชื่อเสียงของเบ็คแฮมเริ่มโด่งดังขึ้นในเดือนสิงหาคม 1996 เมื่อเขายิงลูกจากครึ่งสนามเข้าในนัดที่พบกับวิมเบิลดัน เขาติดทีมชาติอังกฤษนัดแรกวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1996 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่อังกฤษพบกับมอลโดวา ในฤดูกาลนี้เขายังได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอซึ่งโหวตโดยผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก


 
ฟุตบอลโลก 1998
           เบ็คแฮมได้เล่นในรอบคัดเลือกของฟุตบอลโลก 1998ครบทุกนัด แต่ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศฝรั่งเศส ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเกล็น ฮ็อดเดิลได้วิจารณ์ว่าเขาไม่มีสมาธิกับเกมฟุตบอล ทำให้เบ็คแฮมไม่ได้ลงเล่นใน 2 นัดแรก เขากลับมาลงสนามอีกครั้งในนัดที่อังกฤษชนะโคลัมเบีย 2-0 และทำประดูได้
           เบ็คแฮมกลายเป็นตัวร้ายของทีมชาติ เมื่อได้รับใบแดงจากการทำฟาล์วนอกเกมกับดิเอโก ซิโมเน นักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาในการแข่งขันรอบที่สอง การแข่งขันนัดนั้นเสมอกันและอังกฤษแพ้ในการยิงจุดโทษ สื่อมวลชนอังกฤษจึงกล่าวหาว่าเขาเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ในนัดนี้



ฤดูกาลทริปเปิลแชมป์ (1998-1999)
            สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จสูงสุดในฤดูกาล 1998-1999 เมื่อสามารถคว้าแชมป์รายการสำคัญได้ถึง 3 รายการ คือ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยเบ็คแฮมมีส่วนร่วมอย่างมากในการทำประตูการแข่งขันนัดสำคัญ ผลจากการเล่นที่มีประสิทธิภาพในฤดูกาลนี้ทำให้แฟนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดให้อภัยความผิดพลาดในฟุตบอลโลก และคอยปกป้องเบ็คแฮมจากแฟนชาวอังกฤษของสโมสรอื่นที่ยังโจมตีเบ็คแฮมอยู่
            เมื่อชื่อเสียงของเบ็คแฮมนอกสนามเริ่มโด่งดัง เขาเริ่มมีปัญหากับผู้จัดการทีมอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งมองว่าวิคตอเรีย เบ็คแฮม ภรรยาของเขามีส่วนต่อพฤติกรรมแย่นอกสนาม ซึ่งทำให้เบ็คแฮมไม่มีสมาธิกับการแข่งขันเท่าที่ควร
            เบ็คแฮมเริ่มกลับมาเอาชนะใจแฟนฟุตบอลอังกฤษได้อีกครั้ง เมื่อผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเควิน คีแกน ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้จัดการชั่วคราวในขณะนั้นมอบตำแหน่งกัปตันทีมให้กับเบ็คแฮม และสืบต่อมาถึงช่วงของ สเวน โกรัน อีริคสัน ผู้จัดการคนถัดมา เบ็คแฮมมีบทบาทอย่างมากในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 โดยเฉพาะนัดที่เอาชนะทีมชาติเยอรมนี 5-1 และตีเสมอให้อังกฤษ 2-2 ในนัดที่เจอกับทีมชาติกรีซ ซึ่งทำให้อังกฤษเข้ารอบสุดท้ายในที่สุด

ฟุตบอลโลก 2002
            เบ็คแฮมได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับสโมสรฟุตบอลดีปอร์ติโว ลา คอรุญญ่า ในเดือนเมษายน 2002 จึงหมดสิทธิ์เล่นทั้งฤดูกาล แต่เขาหายทันการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม เขาทำประตูชัยในนัดที่พบกับอาร์เจนตินา แต่สุดท้ายอังกฤษแพ้ให้กับบราซิลในการแข่งขันรอบถัดมา
            เบ็คแฮมได้รับบาดเจ็บอีกครั้งต้นฤดูกาล 2002-03 และเริ่มเสียตำแหน่งตัวจริงในทีม ความสัมพันธ์ของเขากับเฟอร์กูสันถึงจุดแตกหัก เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 หลังการแข่งขันที่แพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ในห้องแต่งตัว เฟอร์กูสันได้เตะรองเท้าสตั๊ดไปโดนบริเวณเหนือคิ้วของเบ็คแฮมจนได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการย้ายทีมของเบ็คแฮมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล
 เบ็คแฮมลงสนามกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งหมด 394 นัด ทำได้ 85 ประตู


เรอัล มาดริด
            แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องการขายเบ็คแฮมให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา แต่เบ็คแฮมกลับเซ็นสัญญา 4 ปีกับสโมสรฟุตบอลรีลมาดริดด้วยค่าตัวประมาณ 35 ล้านยูโร การย้ายทีมครั้งนี้ถูกวิจารณ์ว่ารีลมาดริดต้องการซื้อความเป็นดาราของเบ็คแฮมเพื่อหวังรายได้จากการขายสินค้า มากกว่าต้องการตัวเบ็คแฮมจากฝีมือการเล่นฟุตบอล ตัวอย่าง.ที่ชัดเจนคือเสื้อของเบ็คแฮมนั้นขายหมดทันทีในวันแรกที่เขาย้ายมายังมาดริด
            เมื่อเล่นกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เบ็คแฮมใส่เสื้อหมายเลข 7 แต่เมื่อย้ายมามาดริด หมายเลข 7 ถูกครอบครองโดยราอูล กอนซาเลซดาวยิงชาวสเปนอยู่แล้ว เบ็คแฮมจึงเปลี่ยนไปใส่หมายเลข 23 โดยให้เหตุผลว่าเขาเป็นแฟนของไมเคิล จอร์แดน นักบาสเก็ตบอลชื่อดัง
            ฤดูกาลแรกของเบ็คแฮมที่มาดริดเริ่มต้นได้ค่อนข้างดี แต่มาดริดไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เมื่อจบฤดูกาล เบ็คแฮมตกเป็นข่าวอื้อฉาวว่ามีความสัมพันธ์กับอดีตผู้ช่วย และนางแบบชาวออสเตรเลีย เบ็คแฮมได้ปฏิเสธข่าวเหล่านี้ ปีนั้นเขายังได้ลงแข่งขันยูโร 2004 และยิงลูกโทษพลาด ทำให้อังกฤษแพ้โปรตุเกสในรอบสี่ทีมสุดท้าย
            ฤดูกาล 2007/08 ถึงจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเบ็คแฮม จากการเข้ามาคุมทีมของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ซึ่งไม่เห็นค่าของเบ็คแฮมเท่าไหร่นัก เขาจับเบ็คแฮมเป็นตัวสำรอง หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งจุดเปลี่ยนแปลงที่เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกก็เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2007 เบ็คแฮมได้ประกาศ เซ็นสัญญาย้ายไปร่วมทีม "แอลเอ แกแล็คซี่" หลังจบฤดูกาล 2007!!!
            มีข่าวต่างๆออกมามากมายในกรณีดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านั้น ทางมาดริดได้เสนอสัญญา 2 ปี ให้กับเบ็คแฮม แต่เจ้าตัวต้องการสัญญาระยะยาวกว่านั้น ซึ่งจนแล้วจนรอดก็ไม่มีสัญญาฉบับใหม่มายื่นให้บักเบ็คเซ็น จนเป็นผลให้จอมวางบอล ย้ายไปรับทรัพย์มาหาศาลจากสัญญา 5 ปี ของทีมของเมเจอร์ลีก แทน
            จากกรณีดังกล่าว ทำให้คาเปลโล่ ประกาศตัดเบคแฮมออกจากทีม และไม่ให้ลงเล่นอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เบคแฮมเลิกล้มช่วงเวลาที่เหลือ กับทีมชุดขาวแต่อย่างใด เขายังคงมาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมเป็นปกติ จนกระทั่ง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทีมราชัน ฟอร์มบู่เป็นอย่างมาก มีเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ ให้ส่งเทพบุตรสุดหล่อ ลงมาเปิดเกมส์ทางกราบขวาเหมือนเป็นปกติ จนในที่สุด เบคแฮมก็ได้กลับมาลงเล่นอีกจนได้ ซึ่ง ณ ขณะนั้น บักเบคโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมมาก จ่ายใส่พานให้คนอื่นทำประตูสุดสวยหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งเรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลาลีกา ไปครองในที่สุด ซึ่งคาเปลโล่ ถึงกลับมาให้สัมภาษณ์เลยว่า "ผมเสียใจจริงๆที่เราไม่ยื่นสัญญาในระยะเวลาอย่างที่เขาต้องการ"




แอลเอ แกแล็คซี่
              เบ็ค เปิดตัวในฐานะนักเตะแอลเอ ที่โฮม ดีโป เซ็นเตอร์ สนามของทีม โดยเบ็คเลือกใส่หมายเลข 32 ซึ่งในวันเปิดตัวนั้น มีแฟนบอลมาต้อนรับมากมายถึง 250,000 คนเลยทีเดียว
           เบ็คแฮม ลงสนามเล่นแมทช์แรกกับทีม เชลซี ในแมทช์อุ่นเครื่อง ซึ่งทีมแพ้ไป 0-1 และลงเล่นในลีกแมทช์แรกเจอกับทีม ดีซี ยูไนเต็ด ซึ่งสามารถจ่ายบอลให้ แลนดอน โดโนแวน ยิงได้ด้วย และพาทีมเอาชนะไป 2-0
           และในแมทช์ที่แข่งศึกซูเปอร์ลีกา(ยูฟ่าแชมเปี้ยน ของอเมริกาใต้) เจอกับทีมพาชูร่า ของเม็กซิโก เบ็คแฮมได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า ส่งผลให้เขาพักยาวถึง 6 สัปดาห์เลยทีเดียว ซึ่งกว่าจะกลับมาเล่นได้ก็แทบจบฤดูกาลแล้ว สรุปในฤดูกาลแรกกับทีมแอลเอ เบ็คแฮมได้ลงทั้งสิ้น 8 นัด ( 5 นัดในลีก) และทำได้ 1 ประตู (0 ในลีก) เล่นเอาแฟนๆถึงกับทำป้ายบอกเลยว่า "กุซื้อแฮรี่มาอ่านยังจะถูกกว่าคุ้มกว่าอีก"
           ช่วงปิดฤดูกาล เบ็คแฮมสร้างความฮือฮาด้วยการมาซ้อมบอล กับทีมอาร์เซนอล ซึ่งถือเป็นข่าวครึกโครมในช่วงนั้นเลยทีเดียว
           สำหรับลูกแรกที่ทำได้ในเมเจอร์ลีกนั้น เป็นการเจอกับทีม ซาน โจเซ่ เอิร์ธเควกเกส โดยเบ็คทำได้ในนาทีที่ 9
           และวันที่ 24 พฤษภาคม 2008 เบ็คแฮมก็สร้างตำนานการยิงไกลร่วมครึ่งสนามอีกครั้ง ในแมทช์เจอกับแคนซัสซิตี้ วิซาร์ด ซึ่งยิงไกลในระยะร่วม 70 หลา
           แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อจบฤดูกาล ทีมก็ไม่ได้สิทธิอะไรเลย จบฤดูกาลแบบมือเปล่า ซึ่งหลังจากความหวังที่จะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของทีม กลับไม่ประสบความสำเร็จใน 2 ฤดูกาลที่อยู่กับทีม ทำให้ช่วงปิดฤดูกาลที่ 2 เบ็คแฮมเลยตัดสินใจ......


มามิลานแบบยืมตัว
              ช่วงปี 2008 เบ็คแฮมซึ่งกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง เพราะโค้ชฟาบิโอ คาเปลโล ซึ่งเคยคุมทีมเรอัล มาดริด สมัยที่ยังมีเบ็คแฮมอยู่กับทีม ในเล็งเห็นศักยภาพการเปิดบอลใส่พานของเขา และเรียกตัวกลับมาติดทีมชาติ ซึ่งก็ทำผลงานในบอลโลกรอบคัดเลือกได้เป็นอย่างดี ซึ่งการที่ฟอร์มของเขายังดีอยู่ ทำให้ยอดทีมจากอิตาลี เอซี มิลาน อยากได้ความสามารถของเขามาช่วยทีม จึงอาศัยช่วงที่ปิดฤดูกาลของอเมริกา ยืมตัวเบ็คแฮมมาใช้งาน ซึ่งทางแอลเอก็ได้ตอบตกลงอย่าง่ายดาย ด้วยเหตุผลที่ว่า ทีมปีศาจแดงดำจะสามารถเรียกความสามารถระดับท๊อปฟอร์มของเบ็คแฮมกลับมาได้ ซึ่งเบ็คก็ไม่รอช้า รีบบินมาเล่นให้ในทันที
           เบ็คแฮม ลงเล่นอย่างเป็นทางการให้กับเอซี มิลาน ในแมทช์ที่เสมอกับโรม่า 2-2 เบ็คยิงได้ลูกแรกในเซเรีย อาร์ ในนัดถล่มโบโลญญ่า 4-1 ซึ่งเป็นการลงสนามนัดที่สามของเขา ซึ่งพอโชว์ฟอร์มได้ดีกับทีมปีศาจ เบ็คแฮมก็แสดงอาการ ไม่อยากกลับไปเล่นในลีกที่ระดับต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเองอย่างเมเจอร์ลีก ทันที เขาแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่า อยากอยู่กับมิลาน ต่อไป ซึ่งทีมมิลาน ก็ได้ยื่นข้อเสนออยู่หลายครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายมีมูลค่าสูงสุดที่ 10.5 ล้านปอนด์ แต่เงินแค่นี้ ทีมเศรษฐีจากอเมริกาไม่ยอมขายอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาเล่นให้กับแอลเอ ต่อไป


ฟุตบอลโลก 2006
            เบ็คแฮมมีส่วนในการทำประตูในรอบแรกของฟุตบอลโลก 2006 และยิงได้ในนัดที่พบกับเอกวาดอร์ในรอบที่สอง ทำให้เขาเป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง อย่างไรก็ตามในการแข่งขันกับโปรตุเกสในรอบถัดมา เบ็คแฮมบาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง และอังกฤษแพ้จุดโทษให้กับโปรตุเกสอีกครั้ง
หลังจากตกรอบฟุตบอลโลก เบ็คแฮมประกาศลาออกจากตำแหน่งกัปตันทีมชาติอังกฤษ เพื่อเปิดทางให้รุ่นน้องคนอื่นเข้ามารับหน้าที่นี้แทน
ปัจจุบัน เบ็คแฮมได้กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง ภายใต้การคุมทีมของคาเปลโล่ ซึ่งกำลังทำศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก อยู่ในขณะนี้


ชีวิตส่วนตัว
            เบ็คแฮมแต่งงานกับ วิคตอเรีย อดัมส์ นักร้องสาวของวงสไปซ์เกิลส์ ฉายา "Posh Spice" ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอย่างมาก ทั้งคู่ถูกเรียกจากสื่อว่า "Posh and Becks" และชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไป
ครอบครัวเบ็คแฮมมีลูกชาย 3 คน คือ บรุคลิน โจเซฟ เบ็คแฮม (เกิด 1999), โรมีโอ เจมส์ เบ็คแฮม (เกิด 2002) และครูซ เดวิด เบ็คแฮม (เกิด 2005)

        ฟรีคิกสุดเฉียบ จากเทพบุตรลูกหนัง David Beckham

George Best ตำนานปีกพ่อมด

จอร์จ เบสต์ ( George Best )


วันเกิด 22 พฤษภาคม 1946 
สถานที่เกิด เบลฟาสต์, ไอร์แลนด์ 
สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, สต๊อคพอร์ท, คร๊อค เซลติก, ลอส แองเจลิส อัสเตคส์, ฟูแล่ม, ลอส แองเจลิส อัสเตคส์, ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส, ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์, ฮิเบอร์เนียน, ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส, ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์, บอร์นมัธ, บริสเบน ไลออน 
ความสำเร็จ ติดทีมชาติไอร์แลนด์, แชมป์ดิวิชั่น1(แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ), นักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าว, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป 

นักเตะเจ้าของฉายาปีกพ่อมด และเทพบุตรมหาภัย เขาเป็นอัจฉริยะลูกหนังคนหนึ่งของวงการฟุตบอล เป็นตำนานนักเตะหมายเลข 7 ของแมนฯยูฯ เป็นผู้เล่นชั้นยอดอีกคนหนึ่งที่ยังไม่เคยสัมผัสเกมฟุตบอลโลก 

เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งด้วยการมาทดสอบฝีเท้ากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1961 โดยเริ่มเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร ลงเล่นในตำแหน่งปีก ซึ่งในสมัยนั้นผู้เล่นตำแหน่งปีกจะเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากสำหรับทีม 

ในปี 1963 ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดใหญ่นัดแรกในเกมพบฟูแล่ม ด้วยวัย 17 ปี ในเดือนกันยายน และหลังจากเล่นให้แมนฯ ยูฯ ได้เพียง 15 เกมก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติ 

เป็นนักเตะที่พาทีมแมนฯ ยูฯ คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ในฤดูกาล 1964-1965 และ 1966-1967 (แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ) 
ในปี 1968 พาทีมแมนยูขึ้นเถลิงบรรลังค์แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพภายใต้การคุมทีมของเซอร์แมทต์ บัสบี้ ด้วยการเอาชนะ เบนฟิก้า โดย ในเวลาปกติเสมออยู่ 1-1 และต่อเวลาพิเศษ แมนยูยิงได้อีก 3 ลูก โดยจอร์จ เบสต์เป็นผู้ทำประตูด้วย ในนาทีที่ 93 นับเป็นค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตการเล่นฟุตบอลของเขาอย่างมาก 

ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าว และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปในปี 1968 
จอร์จ เบสต์ เคยสร้างสถิติยิงประตูในนัดเดียวมากที่สุดถึง 6 ประตู ในการถล่ม นอร์ทแธมป์ตัน ทาวน์ 8-2 ในเกมเอฟเอคัพ รอบ 5 
ในปี 1972 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 26 ปี แต่แล้วในปี 1973 ก็กลับมาค้าแข้งอีกครั้ง แต่ด้วยความเป็นเพลย์บอยของเขาทำให้ในที่สุดแมนฯ ยูฯก็ตัดสินใจขายเขาทิ้งในปี 1974 

ตั้งแต่ปี 1975-1980 เขาแต่งงานกับนางแบบสาว แองเจลล่า แมคโดนัลด์ เจมส์ และย้ายออกจากแมนฯ ยูฯ ไปค้าแข้งกับทีมเล็ก ๆ อีกหลายทีม และไปแขวนสตั๊ดอีกครั้ง ในเมเจอร์ลีกของ อเมริกา ชื่อ ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ 

แต่แล้วในปี 1983 เขาก็หวนกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง กับทีม บอร์นมัธ แต่ลงเล่นอีกไม่นาน เขาก็ย้ายไปเล่นให้ทีมเล็ก ๆ อย่าง บริสเบน ไลออน และ ตัดสินใจ แขวนสตั๊ดถาวรในปี 1984 ด้วยวัย 38 ปี 

ส่วนหนึ่งที่เบสต์ ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลหลายครั้ง เนื่องจากหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการดื่มเหล้าเคล้านารี เที่ยวกลางคืน และหลงอยู่ในแสงสีของวงการบันเทิง แต่ถึงแม้จะยุติชีวิตนักเตะ เบสต์ก็ยังอยู่ในวงการฟุตบอล โดยทำหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์ของสำนักข่าวให้กับสกายสปอร์ต 

ในปี 1984 ถูกศาลตัดสินจำคุก 12 สัปดาห์ในข้อหาเมาแล้วขับรวมถึงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกภรรยาแองเจลล่า ฟ้องหย่า หลังจากมีลูกชายด้วยกัน 1 คนคือ คาลัม 

ในปี 1995 แต่งงานอีกครั้งกับ อเล็ก เพอร์ซี่ ซึ่งเป็นแอร์ โฮสเตส สาวสวย ซึ่งต่อมาภายหลังก็ต้องแยกทางกัน เพราะภรรรยาของเขาทนไม่ไหว กับการที่ เบสต์ กลับไปดื่มเหล้าจัด และมีคดีความมากมาย ทั้งเมาสุราอาละวาด เมาแล้วขับ และทะเลาะวิวาท 

ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ Hall of Fame หรือหอเกียรติยศของ FIFA ในปี 2004 

ด้วยความเป็นนักดื่มตัวยงที่สุดผลร้ายก็ย้อนคืนสู่สุขภาพของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2000 เบสต์ มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ จนกระทั่งต้องเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในปี 2002 และถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะของมึนเมาอีกแต่เจ้าตัวก็ยังไม่เชื่อฟังแอบดื่มเรื่อยมา 

ในช่วง 2-3 ปีหลังสุขภาพของเบสต์ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ทำให้เข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งครั้งล่าสุด เบสต์ ถูกส่งเข้ารับการรักษาตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนตุลาคม48 ที่โรงพยาบาลครอมเวลล์ กรุงลอนดอน แต่ในที่สุดคณะแพทย์ก็ไม่สามารถยื้อชีวิต เบสต์ เอาไว้ได้เขาจากไปด้วยอาการปอดติดเชื้อ และผลกระทบจากโรคไต 

จบชีวิตปิดฉากตำนานเทพบุตรมหาภัย ด้วย วัย 59 ปี ในวันที่ 25 พฤศจิการยน 2005 

สรุปเส้นทางการค้าแข้ง 

1963-74 : อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ลงเล่น 465 เกม ยิง 180 ประตู) 
1975 : อยู่กับ สต๊อคพอร์ท (ลงเล่น 3 เกม ยิง 2 ประตู) 
1975-76 : คร๊อค เซลติก (ลงเล่น 3 ยิงไม่ได้เลย) 
1976 : ลอส แองเจลิส อัสเตคส์ (ลงเล่น 24 เกม ยิง 15 ประตู) 
1976-77 : ฟูแล่ม (ลงเล่น 47 เกม ยิง 10 ประตู) 
1977-78 : ลอส แองเจลิส อัสเตคส์ (ลงเล่น 37 เกม ยิง 14 ประตู) 
1979 : ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส (14 เกม ยิง 5 ประตู) 
1979-80 : ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ (30 เกม ยิง 13 ประตู) 
1979-80 : ฮิเบอร์เนียน (22 เกม ยิง 3 ประตู) 
1980 : ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส (19 เกม ยิง 2 ประตู) 
1981 : ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ (26 เกม ยิง 8 ประตู) 
1983 : บอร์นมัธ (5 เกม ยิง 0) 
1984 : บริสเบน ไลออน (4 เกม ยิง 0) 

ติดทีมชาติไอร์แลนด์ (1964-1978) : 37 นัด ยิง 9 ประตู






CR : http://talk.mthai.com/topic/55968
CR : http://www.glory-manutd.com

โทนี่ อดัม สุดยอดกัปตันแห่งปืนใหญ่ Arsenal


"ผมจะเซ็นทุกสัญญาที่ Arsenal ยื่นให้กับผมโดยที่ผมไม่ต้องอ่านมัน"

Tony Adams (โทนี่ อดัมส์)

 ไอ้ลาโง่, ไอ้ขี้เมา, ยอดกัปตัน หรือว่า MR.Arsenal ชื่อเหล่านี้เคยถูกเรียกขานกันแบบปากต่อปากจากแฟนบอลให้กับหนึ่งในตำนานนักเตะอาร์เซน่อลผู้จงรักภักดีกับสโมสรเดียวมาตลอดชีวิต ใช่แล้ว!! เรากำลังพูดถึงกัปตัน Tony Adams นั่นเอง กับนักเตะเจ้าของทรงผมไม่เป็นทรง และมาดมุ่งมั่น และดุดันในยามลงสนาม ทำให้นักเตะฝึกัดของสโมสรตั้งแต่ปี 1980 ผู้นี้สามารถใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีในการก้าวขึ้นสู่การเป็นหนึ่งในกองหลังตัวหลักในทีมชุดใหญ่ได้อย่างสมภาคภูมิในวัยเพียงแค่ 17 ปี กับอีก 1 เดือน เท่านั้น ในตำแหน่งกองหลังตัวกลางก่อนที่จะได้เพิ่มอีกตำแหน่งคือการเดินจูงมือเด็กนำโชคนำหน้าลูกทีมลงสนามพร้อมกับปลอกแขนกัปตันทีมในอีกหนึ่งปีต่อมา ร่วมกับ 3 กองหลัง (Lee Dixon, Steve Bould และ Nigel Winterburn) ที่ร่วมเล่นกันมาอย่างยาวนาน พร้อมกับไล่ล่าความสำเร็จด้วยกันมาอย่างมากมายทั้งใน และนอกประเทศก่อนที่เจ้าตัวจะอำลาทีมในปี 2002 ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บที่รบกวนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความอิ่มตัวในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพนั่นเอง




 Adams เป็นหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอลของ Arsenal รักใคร่ด้วยความเป็นเด็กปั้นสโมสร กอปรกับฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม มุ่งมั่นทุ่มเทกับสโมสรเสมอ (แม้กระทั่ง David Beckham กับ John Terry ยังยอมรับว่าเรียนรู้ และนำเอาวิธีหลายๆ อย่างในการนำ หรือกระตุ้นทีมของ Adams ไปใช้ในระหว่างที่มีโอกาสเจอกันในสนาม หรือว่าในนามทีมชาติอังกฤษ) แต่สำหรับแฟนบอลทีมอื่นๆ แล้ว Adams ถูกล้อเลียนว่าเป็นไอ้ลาโง่ หรือ Donky (ดองกี้ อันหมายถึงลาโง่นั่นเอง) ด้วยหน้าตา และเหตุการณ์ในปี 1993 ที่เจ้าตัวเข้าไปแบกตัว Andy Linighan (แอนดี้ ลินิแกน) เพื่อนร่วมทีมหลังจากยิงประตูชัยในเกมลีก คัพนัดชิงชนะเลิศกับ Sheffield Wednesday (เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์) แล้วพลาดทำให้ลินิแกนตกลงมาแขนหักนั่นเอง กับทีมชาติอังกฤษนั้น Adams ถือว่าเป็นหนึ่งในกองหลังที่ติดทีมสิงโตสามตัวค่อนข้างมากทีเดียว (66 นัด / 5 ประตู) แต่ก็คล้ายเป็นโชคดีในโชคร้ายเมื่อมาดูในรายการแข่งจันที่เจ้าตัวได้มีโอกาสลงเล่น โดยแม้ว่าจะได้เล่นใน EURO 88 แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็พลาดโอกาสในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ๆ ถึง 3 ครั้งติดต่อกันไม่ว่าจะเป็น World Cup 1990 ที่ประสบปัญหาบาดเจ็บจนต้องหลุดทีมในวินาทีสุดท้าย ตามมาด้วย EURO 92 ที่สวีเดนก็เช่นเดียวกันที่อาการบาดเจ็บยังตามมาหลอกหลอนไม่เลิก และสุดท้ายกับ World Cup 1994 ที่สหรัฐอเมริกา ทีมชาติอังกฤษไม่ผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นในรอบสุดท้าย ก่อนที่จะกลับมาได้ใน EURO 96 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ และเป็นหนึ่งในนักเตะที่ลงสนามในนัดรองชนะเลิศที่อังกฤษพ่ายจุดโทษต่อเยอรมัน แบบน้ำตานองหน้าคนทั้งอังกฤษเลยทีเดียว ขณะที่ World Cup 1998 ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันด้วยการจอดป้ายในรอบสองต่อ Argentina พร้อมกับเหตุการณ์ “สะกิดบรรลือโลก” ของ David Beckham นั่นเอง (โดยภายหลัง Beckham เปิดเผยว่ารู้สึกขอบคุณ Tony Adams แบบสุดซึ้งเพราะเป็นคนแรกในห้องแต่งตัววันนั้นที่เข้ามาปลอบใจ และไม่ถือโทษตัวเองเป็นคนที่ทำให้ทีมตกรอบ ตรงข้ามกับกัปตันทีมชาติในตอนนั้นอย่าง Alan Shearer ที่แม้แต่หน้ายังไม่คิดจะมองกัน) และ Euro 2000 ที่เป็นทัวร์นาเม้นต์สุดท้ายของ Adams กับทีมชาติก็ล้มเหลวแบบไม่เป็นท่าจากการตกรอบแรกในแบบดูไม่จืด ก่อนที่เจ้าตัวจะหันหลังให้ทีมชาติในยุคของ Sven Goran Eriksson ด้วยเรื่องของสภาพความฟิต และต้องการมุ่งมั่นกับต้นสังกัดนั่นเอง 



อย่างไรก็ดีชีวิตของ Adams ในสนามอาจน่าสนใจแล้ว แต่เรื่องนอกสนามนั้นก็เป็นที่น่าสนใจไม่น้อย หลังจากที่เจ้าตัวประกาศต่อสาธารณชนในปี 1996 ด้วยเรื่องที่เจ้าตัวมีปัญหาเกี่ยวกับการติดแอลกอฮอลล์อย่างหนัก (Alcoholism) ที่มาจากการปัญหาเรื่องการดื่มมาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นนั่นเอง ก่อนที่จะใช้เวลาอยู่นานกว่าที่จะรักษาจนหายขาด พร้อมกลับมาเป็นกัปตันทีมของ Arsenal คนเดิมจนถึงวันสุดท้ายของอาชีพนักเตะร่วมๆ 22 ปีของเจ้าตัวกับ Arsenal (นับรวมกับตอนเป็นนักเตะฝึกหัด) โดยเจ้าตัวนั้นถือเป็นนักเตะที่ได้รับ Testimonial Match ถึง 2 ครั้งคือครั้งแรกเมื่อตอนครบรอบ 10 ปีของอาชีพนักเตะ Arsenal ในประมาณปี 1992 แต่เป็น Testimonial Match เล็กๆ และไม่ได้รับความสนใจมากนักกับสโมสร Crystal Palace ก่อนที่จะได้รับเกียรติเป็นครั้งที่สองในปี 2002 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเจ้าตัวกับ Arsenal โดยทีมที่มาครั้งนี้คือสโมสรชั้นนำของสกอตแลนด์อย่าง Glascow Celtics ซึ่งเกมนี้จบลงด้วยสกอร์ 1-1 และมีนักเตะรุ่นเดียวกับ Adams มากมายรวมไปถึง Ian Wright และ John Lukic อีกทั้งยังเป็นนัดสุดท้ายของ Lee Dixon ก่อนจะแขวนสตั๊ดอีกด้วย โดย Admas ได้รับเกียติจากแฟนบอลให้เป็นนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของสโมสรในใจแฟนบอล พร้อมกับติด 1 ใน 100 นักเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลของอังกฤษอีกด้วย ซึ่งหลังจากเลิกเล่นไปเจ้าตัวก็หันไปทุมเทกับการเรียนปริญญาในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา นอกจากนนี้ยังมีโอกาสจับงานผู้จัดการทีมครั้งแรกกับสโมสร Wycombe Wanderers แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ก่อนที่จะมาร่วมงานกับ Harry Redkanpp ในทีม Portsmotuh ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีม คู่กับ Jo Jordan จนถึงปัจจุบัน


 Profile
 ชื่อ Tony Alexandra Adams
 วันเกิด : 10 ตุลาคม 1966
 สัญชาติ: อังกฤษ
 สถานที่เกิด: แรมฟอร์ด, ประเทศอังกฤษ
 ส่วนสูง: 191 เซนติเมตร
 เข้าร่วมทีม Arsenal เมื่อ: 1980
 ต้นสังกัดเดิม : 1980-002 Arsenal (504 นัด / 32 ประตู)
 CR.http://www.arsenal.in.th/